จำนวนคนดูหน้าบอร์ด

วันศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555



 


Facebook เริ่มทดสอบการแสดงข้อความแบบ Timeline แถวเดียว




ภาพจาก http://time2hack.blogspot.com
หลังจากที่เราได้ใช้งาน Facebook ในรูปแบบ Timeline มาได้ร่วมปี แต่หลายๆ คนก็ยังคงไม่ชอบกับการเปลี่ยนแปลงการแสดงผลมาจนถึงทุกวันนี้ และข่าวนี้น่าจะเป็นข่าวที่ค่อนข้างดีสำหรับกลุ่มคนที่ไม่ชอบ เพราะตอนนี้ทาง Facebook เริ่มมีการทดสอบการแสดงผลแบบใหม่ในลักษณะที่คล้ายในแบบก่อนหน้านี้
คนที่ใช้งาน Facebook มาสัก 1-2 ปีก่อนหน้าคงจะเคยได้ใช้งาน Facebook ในรูปแบบดั่งเดิมที่ยังเป็นการแสดงข้อความในแบบคอลัมน์เดียว และในช่วงปลายปีที่แล้วทาง Facebook ก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนให้มาอยู่ในรูปแบบ Timeline ทั้งหมดให้เป็น 2 คอลัมน์เรียงตามเวลาการเขียนข้อความซ้ายขวา โดย Facebook Page ก็ถูกเปลี่ยนในเวลาถัดมา และก็มีเสียงบ่นค่อนข้างมากในการใช้งานว่า ใช้งานและดูข้อความยากกว่าเดิมมาก จนใช้มาได้พักเสียงบ่นเหล่านั้นก็เบาบางลงไป

แต่ตอนนี้มีการเปิดเผยภาพหน้าจอ ซึ่งเป็นหน้าของ Facebook ที่มีรูปแบบการวางข้อความแบบใหม่ (อีกแล้ว)
โดยหน้าจอที่ทาง Inside Facebook เอามาเผยแพร่มีลักษณะหน้าจอที่ยังคงยึดรูปแบบ Timeline อยู่ โดยจะยังคงมี
แถบแสดงปีและเดือนให้เราสามารถเข้าไปคลิกเลือกดูข้อความ ณ เวลานั้นๆ ได้เหมือนที่เราใช้อยู่ตอนนี้
แต่ในส่วนของการแสดงข้อความด้านซ้ายมือที่ผู้ใช้งานเป็นคนโพสต์ จะมีขนาดของการแสดงข้อความที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งถ้าเราลองเปิดเทียบกับการใช้งานปัจจุบันจะเห็นว่าจะมีการแสดงผลของข้อความทั้งสองด้านในขนาดที่เท่ากัน
และด้านขวาจะแสดงข้อความต่างๆ ที่เป็นกิจกรรม (Activities) ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแสดงชื่อเพื่อน, การกด Like หน้า Page และแอพพลิเคชันต่างๆ ที่มาเชื่อมต่อกับ Facebook จะยังคงมีอยู่แต่ถูกบีบให้มีขนาดที่เล็กลง และถ้าดูรูปหน้าจอด้านล่างจะเห็นได้ว่า เมื่อกล่องแสดงข้อความแอพพลิเคชันหมดไปแล้ว จะไม่มีข้อความต่อ ซึ่งปัจจุบันจะมีการแสดงข้อความที่เข้าของหน้านั้นโพสต์แสดงอยู่
การทดสอบนี้ทาง Facebook ได้ออกมายืนยันว่าเป็นการทดสอบจริง โดยทดสอบกับกลุ่มคนจำนวนไม่กี่คนเท่านั้น และยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมใดๆ ว่าจะมีการใช้งานจริงๆ หรือใช้งานเมื่อไหร่ และสำหรับ Facebook Page คาดการณ์กันว่าน่าจะถูกเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในรูปแบบนี้เช่นกัน
เราได้อะไรจากข่าวนี้
thumbsup’er อาจมองว่าเป็นการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรอบจัง แต่ถ้าดูแล้วการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็น่าจะตอบโจทย์คนที่เซ็งกับรูปแบบที่ใช้อยู่ปัจจุบันได้ แต่ใจของทาง Facebook ลึกๆ แล้วผมยังมองว่าเขาคงไม่ยอมที่จะเสียพื้นที่ว่างๆ แบบเปล่าประโยชน์อย่างนี้แน่นอน ถ้าให้ลองคาดการณ์ดู ก็คงมีไว้เพื่อรองรับโฆษณาที่ตรงกลุ่มยิ่งกว่าเดิม (ทุกวันนี้ก็ตรงกลุ่มอยู่แล้ว ยอมน่าจะมีอะไรที่เหนือกว่านั้นเพื่อรายได้ที่มากกว่าเดิม) หรืออาจจะเปลี่ยนเพื่อสำรองการแสดงผลของแอพพลิเคชันที่นับวันจะใช้ Facebook ในการลงทะเบียนมากขึ้น และแค่ส่วนของ Facebook ที่เอามาไว้อย่างน้อยๆ 4-5 กล่อง (Activity, Photos, Friends, Places, Likes) เข้าไปแล้ว ดังนั้นการเพิ่มแบบเหลือดีกว่าขาดย่อมน่าจะเป็นไปได้สูง
สุดท้ายก็ต้องจับตาดูว่าจะเปลี่ยนกันเมื่อไหร่ โดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะได้เห็นกันไม่เกินสิ้นปีนี้ เพราะการเปลี่ยนรูปแบบทำดูแล้วไม่ยากนักครับ

Facebook ควง Twitter ให้ชาวอเมริกันใช้งานแบบไม่ผ่านอินเทอร์เน็ต




เพราะการตลาดที่ดีที่สุดนั้นไม่ได้อยู่ที่การประชาสัมพันธ์ แต่อยู่ที่การทำให้ผลิตภัณฑ์สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ให้ได้มากที่สุด เช่นเดียวกับ Facebook ที่ควงแขน Twitter สร้างสรรค์ระบบที่ทำให้ชาวอเมริกันสามารถติดตามเรื่องราวเครือข่ายสังคมได้แม้อินเทอร์เน็ตจะถูกตัดขาด หวังตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ประสบภัยจากเฮอร์ริเคน Sandy
เพราะเฮอร์ริเคน Sandy นั้นยกพลขึ้นสู่ชายฝั่งทะเลตะวันออกหรือ Eastern Seaboard ของสหรัฐฯเรียบร้อย ทำให้หลายพื้นที่ในสหรัฐฯไม่มีไฟฟ้าใช้งาน การไร้ไฟฟ้านี้เองที่ทำให้ประชาชนไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเครือข่าย Wi-Fi หรือเครือข่าย 3G อย่างเคย ซึ่งเป็นอุปสรรคที่ทำให้หลายคนไม่สามารถรับรู้ความเป็นไประหว่างครอบครัว,เพื่อนฝูง และทำให้ไม่ได้รับคำตอบข้อสงสัยหรือความช่วยเหลือที่ร้องขอได้
วันนี้ทั้ง Facebook และ Twitter ปรับปรุงระบบทำให้ผู้ใช้สามารถส่งข้อความ SMS เข้าสู่ระบบของ Facebook ได้โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต แต่จะต้องตั้งค่าที่เว็บไซต์เป็นกรณีพิเศษ
ผู้ที่ต้องการ tweet ผ่านข้อความ SMS จะต้องเปิดการทำงานที่ Twitter.com โดยคลิกที่ “Settings” จากนั้นคลิก “Mobile” ก่อนจะป้อนเบอร์โทรศัพท์เคลื่อนที่ลงไปภายใต้คุณสมบัติ “Activate Twitter text messaging” จากนั้นผู้ใช้รายนั้นจะต้องส่งข้อความ “GO” ไปที่เบอร์ 40404 ซึ่งจำกัดเฉพาะการส่งจากสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
เมื่อส่งข้อความแล้ว ผู้ใช้จะได้รับข้อความ SMS แจ้งว่าคุณสมบัติการส่ง SMS เข้าสู่ Twitter นั้นสามารถใช้งานได้แล้ว โดยผู้ใช้สามารถตั้งค่าการเปิดหรือปิดระบบแจ้งเตือนความเคลื่อนไหวบนเครือข่ายได้ผ่าน SMS ได้บนเว็บไซต์ twitter.com ได้ตามต้องการ
เพียงเท่านี้ ผู้ใช้ Twitter จะสามารถส่งข้อความ Tweet ด้วยการส่งข้อความ SMS เข้าที่เบอร์ 40404 โดยไม่ต้องใช้อินเทอร์เน็ต
เช่นเดียวกับ Facebook ทุกคนจะสามารถอัปเดทสถานะได้ผ่าน SMS ไม่ต่างกัน โดย Facebook นั้นเปิดให้ผู้ใช้สามารถสมัครเพื่อรับข้อมูลอัปเดทจากเพื่อนหรือครอบครัวได้อย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็สามารถใช้บริการ Facebook chat ผ่าน SMS ได้เช่นกัน ซึ่งทั้งหมดต้องลงทะเบียนเปิดคุณสมบัตินี้ที่ Facebook.com
เพียงคลิกที่ “Account Settings” จากนั้นเลือกที่ “Mobile” กรอกข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ และคลิก “Activate Text Messaging” จุดนี้ผู้ใช้ต้องเลือกประเทศและโอเปอเรเตอร์ที่ใช้บริการ เมื่อทำตามขั้นตอนแล้วให้พิมพ์ว่า “F” ส่งไปที่เบอร์ 32665
หลังจากได้รับข้อความยืนยันเปิดใช้บริการ ผู้ใช้ Facebook จะสามารถอัปเดทสถานะด้วยการส่ง SMS ไปที่เบอร์ 32665
เรียกความอุ่นใจให้ชาวอเมริกันได้มากเลยทีเดียว

รายได้จากโฆษณาของ Facebook ทะลุพันล้านเหรียญแล้ว




ถึงแม้ Facebook จะพยามหาช่องทางในการเพิ่มรายได้อย่าง Gifts หรือช่องทางการจ่ายเงิน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารายได้หลักของ Facebook คือการขายโฆษณาที่คิดเป็นสัดส่วน 82% ของรายได้ Facebook ตั้งแต่ก่อนเปิดขายหุ้นเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
หลังจากที่พยายามผลักดันในไตรมาสที่ผ่านมา Facebook บอกว่าในไตรมาสที่ 3 พวกเขาทำรายได้จากการขายโฆษณาอย่างเดียวกว่า 1.09 พันล้านเหรียญ ซึ่งนับเป็น 86% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 36% เทียบกับไตรมาสนี้เมื่อปีที่แล้ว และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่แล้วที่ทำไว้ 992 ล้านเหรียญ
สิ่งที่ทำให้รายได้จากการโฆษณาของ Facebook เพิ่มขึ้น คือความรวดเร็วในการนำเสนอรูปแบบใหม่ของการประชาสัมพันธ์สิ่งต่างๆ เครื่องมือของ Facebook อย่าง Custom Audiences, Facebook Exchange, Offers และเครื่องมืออย่าง mobile ads ที่แสดงข้อความโฆษณาบน news feed ของผู้ใช้ ทำเงินได้นับเป็น 14% ของรายได้โดยรวม หรือประมาณ 152.6 ล้านเหรียญในช่วงไตรมาสที่สอง
สิ่งหนึ่งที่ฉุดการเติบโตของรายได้ของ Facebook คืออัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน ที่พวกเขาบอกว่าปัญหานี้มีผลกระทบกับรายได้และการเติบโตของการขายโฆษณา ซึ่งถ้าไม่มีผลกระทบนี้ รายได้จากการขายโฆษณาจะเพิ่มขึ้นอีกถึง 43%!
รายงานจาก TBG ชื่อว่า Facebook and advertising ตั้งข้อสังเกตว่าการลงทุนในการซื้อโฆษณาในแต่ละพื่นที่นั้นต่างกัน ในอเมริกาและแคนาดาให้ความสนใจในรูปแบบการประชาสัมพันธ์ใหม่ๆ เสมอ ในขณะที่ในแถบยุโรปเลือกที่จะซื้อโฆษณาที่เป็น non-social (เช่น โฆษณาที่อยู่ฝั่งขวาของหน้าเว็บ ซึ่งมันจะพาผู้ใช้ออกไปจากหน้าเว็บที่เปิดอยู่) น่าสนใจว่าด้วยข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่ Facebook จะคิดแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างไร
ช่วงนี้ Facebook ประกาศตัวเลขบ่อย คนใช้ทะลุ 1 พันล้าน และตอนนี้โฆษณาทะลุ 1 พันล้านเหรียญเช่นกัน น่าคิดว่าต่อไปจะมีผลิตภัณฑ์ไหนจาก startup ไทยทำได้แบบนี้บ้างไหมนะ

รวมขนาดของรูปที่ต้องใช้บน Facebook Page สำหรับ Timeline




รูปจาก http://mediafunnel.com
ที่ผ่านมาเราได้แนะนำวิธีการดูแลเครื่องมือ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram ในบทความหมวด How To และนี่ก็จะเป็นอีก 1 บทความ How To ที่จะช่วยในการเลือกใช้งานรูปภาพบน Facebook ที่เจ้าของเพจน่าจะต้องเอาใจใส่ครับ นอกจากข้อความที่จะเป็นสิ่งที่คอยสื่อสารแบรนด์ตามที่ต้องการแล้ว รูปก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้สื่อออกไปได้เช่นกัน เพราะรูปหนึ่งรูปสามารถสื่อความหมายไปได้นับร้อยนับพัน แต่ปัญหาที่หลายคนมักจะเจอตั้งแต่ Facebook เปลี่ยนรูปแบบการแสดงผลเป็นแบบ Timeline นั่นคือรูปที่แสดงผลออกมาดูไม่สวยงาม ขาดๆ เกินๆ จึงเป็นที่มาของบทความที่จะบอกถึงขนาดเพื่อการใช้งานให้เหมาะสมในหน้า Facebook ซึ่งก็สามารถเอาไปใช้กับหน้า Facebook ส่วนบุคคลได้ด้วยเช่นกัน

รูป Profile

รูปที่จะบ่งบอกว่าเราคือใครหรือเป็นแบรนด์อะไร ควรมีขนาดไม่น้อยกว่า 180 * 180 พิกเซล แต่ในการแสดงผลบนหน้าจอจะแสดงเพียงแค่ 160 * 160 พิกเซลเท่านั้น ดังนั้นเวลาจะกำหนดขนาดหรือออกแบบ ต้องคิดเผื่อการแสดงผลไปด้วยอีกนิดนึงครับ

รูป Cover Page

รูปที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการสื่อสารกับคนอ่าน เพราะนี่คือรูปแรกที่ผู้เข้ามาเปิดหน้าจอได้เห็น โดยทาง Facebook กำหนดให้สามารถใช้รูปได้โดยมีความกว้างมากกว่า 720 พิกเซล แต่สำหรับขนาดที่ดีที่สุดที่แสดงผลบนหน้าจอ ได้แก่ 851 * 315 พิกเซล โดยจะต้องเป็นไฟล์ Jpeg และมีขนาดไฟล์ไม่น้อยกว่า 100KB
และที่สำคัญ ในรูปนั้นจะต้องทำตามกฎของทาง Facebook ที่มีอยู่ 4 ข้อ ได้แก่
  • ต้องไม่มีราคาหรือข้อมูลในการชวนซื้อ
  • ต้องไม่มีข้อมูลในการติดต่อสอบถาม
  • ต้องไม่มีสิ่งต่างๆ ที่จะอ้างอิงหรือชวนกด Like หรือ Share
  • ต้องไม่มีข้อความเชิญชวนให้ทำกิจกรรมต่างๆ

รูป Thumbnail ที่แสดงใต้ Cover Page

กล่องที่อยู่ใต้ Timeline มันจะเป็น Application ต่างๆ รวมทั้งเป็นการแสดงรูปและจำนวนผู้มากด Like ส่วนในการแสดงรูปนั้นจะใช้ขนาดอยู่ที่ 111  * 74 พิกเซล

รูปที่แสดงบนหน้าจอ Timeline

สำหรับรูปที่แสดงบนหน้าจอเมื่อเราอัพโหลดขึ้นไปในหน้า Timeline ซึ่งโดยปกติแล้วจะไม่มีการจำกัดขนาดของรูปอยู่แล้ว แต่เมื่อถูกอัพโหลดและแสดงผลแล้วจะถูกบีบให้เห็นเพียงแค่ความกว้างที่ 403 พิกเซลเท่านั้น
และสำหรับรูปที่มีความกว้างมากกว่า 403 พิกเซล เราสามารถที่จะขยับรูปหลังจากที่อัพโหลดไปแล้วในหน้า Timeline ด้วยการคลิกที่ Edit or Remove ที่โพสต์นั้น แล้วเลือก Reposition Photo จากนั้นก็ขยับรูปเพื่อแสดงได้ตามต้องการ

รูป Timeline Highlight


โพสต์ที่แสดงบนหน้า Facebook Timeline สามารถตั้งค่าให้เป็น Highlight หรือเป็นโพสต์ที่เราต้องการเน้นเป็นพิเศษ โดยคลิกที่ สัญลักษณ์ดาวที่หัวข้อโพสต์ และมีลักษณะการแสดงผลขยายเป็นทั้ง 2 ส่วน ดังนั้นขนาดของภาพจะสามารถมีความกว้างอยู่ที่ 843 พิกเซล และมีความสูงมากที่สุดอยู่ที่ 403 พิกเซล

Timeline Milestone

สำหรับ Milestone หรือเป็นการกำหนดโพสต์โดยมีการระบุวันที่ชัดเจนก็สามารถอัพโหลดรูปได้เช่นกัน และจะใช้ขนาดรูปเหมือนกับ Highlight นั่นคือ843 * 403 พิกเซล
*สร้าง Milestone ได้โดยการกด Offer, Event + แล้วเลือก MileStone
ทั้งหมดนี้ก็เป็นรายละเอียดของการตั้งค่ารูปเพื่อใช้ใน Facebook Timeline ซึ่งผู้ดูแลควรจะต้องเอาใจใส่กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับรูป เพื่อที่จะให้รูปที่เราต้องการจะนำเสนอ เข้าถึงผู้ที่เข้ามาชมได้อย่างสมบูรณ์นั่นเอง
หวังว่าจะมีประโยชน์กับ thumbsupers บ้างไม่มากก็น้อยครับ

พบสาวก 6% เท่านั้นที่ติดตามเพจ Facebook ของแบรนด์ในดวงใจ



ในวันที่แบรนด์ใหญ่ประกาศความภูมิใจถึงจำนวน “แฟน (fan)”  ที่มีบน Facebook ทะลุหลักล้านคน แต่จากการสำรวจล่าสุดกลับพบว่าแบรนด์เหล่านี้ควรจะเริ่มให้ความสำคัญกับ “แฟนพันธุ์แท้” ซึ่งจะทำให้เกิดการติดตามกิจกรรมบนเพจอย่างแท้จริงมากกว่าเพราะพบจำนวนสาวกที่รักแบรนด์นี้จริงๆ เพียงไม่ถึง 10%
การสำรวจจากสำนัก Napkin Labs พบว่าโดยเฉลื่ยแล้ว มีเพียง 6% ของสาวกผู้ชื่นชอบแบรนด์เท่านั้นที่ติดตาม Facebook Page ของแบรนด์นั้นผ่านการกด Like, ส่งคอมเมนท์, ตอบแบบสอบถาม หรือกิจกรรมอื่นๆ เท่ากับปริมาณการกด Like มหาศาลไม่ได้หมายความว่า engagement หรือการติดตามของแฟนจะมากขึ้นไปด้วย
Napkin Labs นั้นเป็นนักพัฒนาแอพพลิเคชันบน Facebook ที่ทำงานร่วมกับแบรนด์และเอเจนซี่หลายค่าย การสำรวจของ Napkin Labs ครอบคลุมการวิเคราะห์พฤติกรรมการติดตามหรือ engagement ของกลุ่มแฟนบนเพจแบรนด์ดังมากกว่า 50 เพจ ประกอบด้วยแบรนด์ด้านสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภค ผู้ค้าปลีก และอื่นๆ ซึ่งล้วนมีจำนวนแฟนระหว่าง 200,000 ถึง 1 ล้านคน
สิ่งที่น่าสนใจคือการสำรวจพบว่ายิ่งแบรนด์ใดมีแฟนบน Facebook มาก แบรนด์นั้นจะมีอัตราเปอร์เซ็นต์การ engage น้อยเท่านั้น ตัวอย่างเช่น แบรนด์เพจที่มีแฟนราว 900,000 ถึง 1 ล้านคนนั้นมีอัตรา engagement น้อยกว่าแบรนด์เพจที่มีแฟน 500,000-600,000 คนราว 60% ถือเป็นสัดส่วนเกินครึ่งที่สะท้อนความแตกต่างที่ชัดเจน
การสำรวจชี้ว่าสิ่งที่จะสามารถผลักดันอัตราการ engagement บนแบรนด์เพจคือกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ที่ Napkin Labs เรียกว่า “superfan” โดยพบว่ากลุ่มแฟนพันธุ์แท้ 20 คนจะผลักดันกิจกรรมบนเพจได้มากเท่ากับกับแฟนทั่วไปถึง 75 คน เพราะค่าเฉลี่ยแต่ละเดือนชี้ว่า แฟนพันธุ์แท้จะกด Like มากกว่า 10 โพสต์, แชร์คอนเทนต์เกี่ยวกับแบรนด์ 5 ครั้ง และคอมเมนต์ 1 ครั้ง ซึ่งแฟนพันธุ์แท้มีแนวโน้มกด Like และคอมเมนต์บนโพสต์ของตัวเองมากกว่าแฟนทั่วไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะทำให้อัตรา engagement ของแบรนด์เพจเพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้ Riley Gibson ผู้ร่วมก่อตั้งและซีอีโอ Napkin Labs ให้สัมภาษณ์กับสำนัก Mashable ว่าทุกธุรกิจควรจะกลับมาประเมินผลและทำให้มั่นใจว่ากลยุทธ์เครือข่ายสังคมที่แต่ละแบรนด์วางไว้นั้นมีประสิทธิภาพจริง ซึ่งแม้ปริมาณการกด Like จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินนั้นได้ แต่ธุรกิจจำเป็นต้องหันมาให้ความสำคัญกับด้านอื่นบ้าง และเริ่มต้นศึกษาอย่างจริงจังว่าแฟนกลุ่มใดมีพฤติกรรมอย่างไร
Gibson เชื่อว่า ทุกแบรนด์บริษัทจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ที่มีอยู่ แทนที่จะมุ่งเพิ่มจำนวนแฟนใหม่อย่างที่หลายค่ายดำเนินการในขณะนี้ ซึ่งการอินเทอร์แอคทีฟกับกลุ่มแฟนพันธุ์แท้ให้มากและสนิทสนมยิ่งขึ้น จะมีส่วนทำให้แบรนด์สามารถขยายกลุ่มผู้ติดตามในเครือข่ายสังคมได้มากขึ้น
“การทำให้แฟนพันธุ์แท้พูดถึงแบรนด์บ่อยๆ จะทำให้ friends feed (ฟีดข่าวจากเพื่อนบน Facebook) ของแฟนแต่ละรายเคลื่อนไหว ตรงนี้จะทำให้แบรนด์สามารถปรากฎตัวใน news feed ได้มากขึ้น ด้วยการให้ความสำคัญและใส่ใจแฟนพันธุ์แท้มากขึ้น”
ทุกแบรนด์ ทราบแล้วเปลี่ยนด่วน!

Facebook ประกาศมุ่งเน้นไปที่อุปกรณ์พกพา…



ด้วยความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่เว้นแม้แต่การมุ่งเป้าหมายไปที่ผู้ใช้งานบนอุปกรณ์พกพาของทาง Facebook ซึ่งล่าสุดทางรองประธานของบริษัทเจ้าของเครือข่ายสังคมหมายเลขหนึ่งของโลก ได้เปิดเผยว่าเตรียมเบนเข็มในการจับตลาดอุปกรณ์พกพามากขึ้น ซึ่งรายละเอียดจะเป็นอย่างไรติดตามด้านในได้เลยครับ…
แม้ว่าในปี 2011 ที่ผ่านมานั้น ทาง Facebook จะมีตัวผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มุ่งเน้นการใช้งานบนคอมพิวเตอร์เสียเป็นส่วนใหญ่ คือมากถึงร้อยละ 80 เลยทีเดียว แต่คาดว่าหลังจากนี้ไปตัวเลขอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างแน่นอน จากการเปิดเผยของรองประธานของ Facebook อย่าง Vaughan Smith
รองประธานฝ่ายความร่วมมือของอุปกรณ์พกพา และฝ่ายพัฒนาองค์กรของ Facebook กล่าวว่าด้วยความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโทรศัพท์เคลื่อนที่ ทำให้เราต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย Facebook มีการพัฒนาบุคลากรให้มีความชำนาญในด้านอุปกรณ์พกพามากขึ้น รวมถึงมองถึงการอัพเดตที่เพิ่มสูงขึ้นของแอพพลิเคชันบนแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Android และ iOS ด้วย
เรื่องนี้อาจจะไม่ได้พลิกความคาดหมายของคนทั่วไปสักเท่าไรนัก เนื่องจากที่ผ่านมา Facebook เองก็มีทิศทางโน้มเอียงไปทางอุปกรณ์พกพาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นดีลการซื้อธุรกิจแอพฯ ถ่ายภาพชื่อดังอย่าง Instagram หรือการที่จะให้มีการโฆษณาผ่าน News Feed ก็ตาม นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าผู้ใช้งานกว่า 600 ล้านคน ที่หันมาใช้แอพฯ บนอุปกรณ์พกพา จะมีแนวโน้มการใช้งาน Facebook เพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 20 เลยทีเดียว
เป้าหมายแรกของ Facebook ก็คือการพัฒนาแอพฯ ของตัวเองบน HTML5 แม้ว่าก่อนหน้านี้จะโดนตำหนิเรื่องของแอพฯ ที่มีปัญหากับเทคโนโลยี HTML5 ที่กระทั่ง Mark Zuckerberg เองยังออกมายอมรับว่าเป็นความผิดพลาดในการนำแอพฯ ไปผูกติดกับเทคโนโลยีนี้…
ในความคิดเห็นของผู้เขียน: อย่างไรก็ตามเชื่อเหลือเกินว่า HTML5 ยังคงเป็นเป้าหมายที่ทาง Facebook คงมุ่งไปหาอย่างแน่นอน แม้ว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจาก HTML5 น่าจะเหมาะกับการรุกตลาดอุปกรณ์เคลื่อนที่มากที่สุดแล้วในตอนนี้
แน่นอนว่าทาง Facebook มองตลาดในระยะยาวของ HTML5 ไว้ ว่าถ้าทำให้มันเสถียรได้ ก็น่าจะให้ผู้ใช้งานได้ประสบการณ์ที่ดีจากทางสังคมออนไลน์หมายเลขหนึ่งของโลกอย่างแน่นอน…
Free Lines Arrow ...ยินดีต้อนรับ...